หลักๆ ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดอาการลำไส้ปั่นป่วนและการอักเสบของลำไส้ นอกจากนั้นยังอาจมีความสำคัญในเรื่องของระบบภูมิต้านทานและระบบประสาท ช่วยลดอาการภูมิแพ้ ลดปัญหาผื่นผิวหนัง สิว ไปจนถึงช่วยเรื่องของความเครียดด้วยค่ะ
2.โพรไบโอติกส์ทำอะไร
โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ตัวดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้และจะทำทุกวิถีทางให้จุลินทรีย์ตัวร้ายออกฤทธิ์ไม่ได้ ทั้งขับไล่ หยุดสารพิษ หยุดสารก่อมะเร็งจากเจ้าจุลินทรีย์เพชรฆาต รวมทั้งกระตุ้นการสร้างเมือก ไม่ให้จุลินทรีย์ตัวร้ายฝังตัวเข้าผนังลำไส้ได้ค่ะ
3.จุลินทรีย์ในลำไส้มีเยอะอยู่แล้ว ทำไมต้องกินเสริม
ไลฟ์สไตล์ของเราทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุลค่ะ เช่น กินแป้งและน้ำตาลเยอะ กินกากใยน้อย สูบบุหรี่ รวมถึงความขี้เกียจด้วยค่ะ เมื่อสมดุลเสียไปก็ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมานั่นเอง
4.โพรไบโอติกส์แบบไหนดี
จะเลือกดื่มนมยาคูลท์ กินโยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ หรือรูปแบบเม็ดเสริมอาหารเพื่อความสะดวกก็ ออกฤทธิ์ไม่ต่างกันค่ะ
5.Lactobacillus acidophilus ดีที่สุดใช่หรือไม่
ไม่ใช่ค่ะ ควรเลือกแบบผสม 2-4 สายพันธุ์ขึ้นไปจาก Lactobacillus, Bifidobacterium และ Saccharomycesค่ะ ถ้าท้องผูกให้เลือกขวดที่มี Bifidobacterium lactis ด้วย และต้องมีจุลินทรีย์ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านตัวนะคะ
มี 2 ชื่อที่ห้ามสับสน คือ Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus 2 ตัวนี้ใช้ทำโยเกิร์ต ไม่ใช่โพรไบโอติกส์ค่ะ
6.ต้องเก็บในตู้เย็นมั้ย
ไม่เสมอไปค่ะ ถ้าซื้อมาเย็นต้องเก็บที่เย็นเท่านั้น ถ้าซื้อเป็นขวดอาหารเสริม ต้องเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ตามฉลากและไม่ควรเปลี่ยนถ่ายขวด บางขวดต้องเก็บในตู้เย็น แต่บางขวดห้ามนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมปิดขวดให้สนิททุกครั้งด้วยค่ะ
7.กินแล้วท้องอืด ต้องทำอย่างไร
2-3 สัปดาห์หลังจากกินโพรไบโอติกส์อาจมีอาการท้องอืดได้เป็นปกติค่ะ ถ้ากินต่ออีก 2 สัปดาห์แล้วอาการดีขึ้น สบายท้อง แสดงว่าคุณค้นพบโพรไบโอติกส์ที่เหมาะกับคุณแล้ว สามารถกินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่คุณหยุด ฤทธิ์ของโพรไปโอติกส์ก็จะหมดลงใน 2-3 สัปดาห์ค่ะ แต่ถ้ากินไป 4-6 สัปดาห์แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไม่รู้สึกดีขึ้นให้ลองเปลี่ยนสายพันธุ์ค่ะ
8.ใครไม่ควรกินโพรไบโอติกส์
คนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ควรกิน และโพรไบโอติกส์ไม่มีประโยขน์ในเด็กที่ท้องเสียจากอาหารเป็นพิษค่ะ